ข่าวกีฬา เกิดอะไรขึ้นนับจากมี.ค.ต้นปีที่ โยอาคิม เลิฟ พาทีมเยอรมันเสียฟอร์ม

แพ้นอร์ธ มาซิโดเนีย 1-2 จากนั้นพอมาเล่นยูโร 2020 ก็ถือว่าไม่ใช่เยอรมัน ระยะเวลานับจากบอลโลก 2018 ต่อด้วยยูโร ในเวลาสามปี ก็เพียงพอต่อการโบกมือลาของ โยกี้ เลิฟ

ผมว่าเขารู้ตัวนั่นแหละ แม้สัญญาหลังหมดบอลโลก 2022 แต่เขาก็ไม่ฝืนตัวเองหรือยึดติดกับบุนเดสเทรนเนอร์ นับจากทำงานมาตั้งแต่ปี 2006 รับไม้ต่อจาก เจอร์เก้น คลินส์มันน์ ผู้วางรากฐานและปฏิรูประบบการเล่นบอลเยอรมันด้วยการหันกลับมาใช้แบ๊กโฟร์ แทนที่ รูปแบบสุดเวิร์คที่ “ไกเซอร์ ฟร้านส์”

เบคเคนบาวเออร์ สร้างเอาไว้ 5-3-2 จนคว้าแชมป์โลก1990 ฉลามขาว โดนวิจารณ์เยอะอยู่ในช่วงแรกของการทำงาน แต่พอ โยกี้ เลิฟ พาเยอรมันคว้าแชมป์ฟุตบอลโลก 2014 หรือ 10 ปีหลังจากเขาเลือกระบบหลังสี่ มาใช้งานทุกคนก็ต้องยอมรับในจุดนั้น

เลิฟ บอกลาทีมชาติเยอรมันล่วงหน้าก่อนหมดสัญญาเมื่อ 10 มี.ค. 2021 ประกาศความชัดเจน จากนั้นพอหมดยูโร 2020 ไม่ถึงหนึ่งเดือน ฮันส์ ดีเตอร์ ฟลิค อดีตมือขวาของ เลิฟ รับงานแทน ซึ่งก็เป็นไปในทิศทางที่ทุกคนพอทราบ หลังจาก 17 เม.ย. ฟลิค ประกาศยุติสัญญาคุมทีมบาเยิร์น มิวนิค 25 พ.ค. รับงานคุมทีมชาติเยอรมัน…..

ทางมันปูเอาไว้แล้ว….

เดเอฟเบ ไม่จำเป็นต้องไปสัมภาษณ์ใครให้เสียเวลา ฮันซี่ เข้าใจทีมชาติอย่างถ่องแท้ และเข้าใจนักเตะบุนเดสลีกา อย่างลึกซึ้ง โดยเฉพาะก๊วนบาเยิร์น ที่เขาใช้เวลาอันสั้นคว้า “ทริปเปิล แชมป์” อย่างสุดยอด

นับจาก 1 ส.ค. เป็นต้นมา ฮันซี่ ก้าวมาทำงานในทีมชาติ เขาใช้เวลาเดือนเศษๆในการถ่ายทอดไอเดียทางแทกติกให้ลูกทีม ซึ่งแน่นอนข้อได้เปรียบคือการที่มีนักเตะบาเยิร์น มิวนิคในทีมชาติเป็นโครง

วิธีการเล่นก็รู้มือกันอยู่ แต่กลุ่มนักเตะทีมอื่น และจากลีกอื่นที่ ฟลิค เรียกติดทีมอินทรีเหล็กก็ไม่ง่ายเช่นกัน มันต้องทำความเข้าใจกันให้ได้ ซึ่งผลงานที่เกิดขึ้นมันกลายเป็นพลิกสถานการณ์จากอินทรีที่หงอยๆ กลายเป็นอินทรีที่เริ่มสยายปีกพร้อมบินสูงอีกครั้ง

ขอบคุณข่าว : https://www.siamsport.co.th/